ข้อ 1 อธิบายความหมายของคำต่อไปนี้
–
WWW
World Wide Web หรือที่เรามักเรียกสั้นๆว่า Web หรือ W3
(WWW) คือ คอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งบนอินเตอร์เน็ต
ที่ถูกเชื่อมต่อกันในแบบพิเศษที่ทำให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลเนื้อหาที่เก็บไว้ภายในของแต่ละเครื่องได้
(กลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่) โดยผ่านทาง บราวเซอร์ (Browser) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้อ่านและตอบโต้ข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ใน
World Wide Web โดยเฉพาะ
บราวเซอร์ที่พบเห็นได้มากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่ Internet Explorer ของ และ Firefox
การนำเสนอข้อมูลในระบบ
WWW
(World Wide Web) พัฒนาขึ้นมาในช่วงปลายปี 1989 โดยทีมงานจาก ห้องปฏิบัติการทางจุลภาคฟิสิกส์แห่งยุโรป (European
Particle Physics Labs) หรือที่รู้จักกัน ในนาม CERN
(Conseil European pour la Recherche Nucleaire) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
และได้มี การพัฒนา ภาษาที่ใช้สนับสนุน การเผยแพร่เอกสารของนักวิจัย หรือเอกสารเว็บ
(Web Document) จากเครื่องแม่ข่าย (Server) ไปยังสถานที่ต่างๆ ในระบบ WWW เรียกว่า ภาษา HTML
(HyperText Markup Language)
การเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
ผ่านสื่อประเภทเว็บเพจ (WebPage)
เป็นที่นิยมกันอย่างสูงในปัจจุบัน ไม่เฉพาะข้อมูลโฆษณาสินค้า
ยังรวมไปถึงข้อมูลทางการแพทย์ การเรียน งานวิจัยต่างๆ
เพราะเข้าถึงกลุ่มผู้สนใจได้ทั่วโลก ตลอดจนข้อมูลที่นำเสนอออกไป สามารถเผยแพร่
ได้ทั้งข้อมูลตัวอักษร ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหว
มีลูกเล่นและเทคนิคการนำเสนอ ที่หลากหลาย อันส่งผลให้ระบบ WWW เติบโตเป็นหนึ่ง ในรูปแบบบริการ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ ระบบอิน
ลักษณะเด่นของการนำเสนอข้อมูลเว็บเพจ
คือ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยังจุดอื่นๆ บนหน้าเว็บได้
ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บอื่นๆ ในระบบเครือข่าย อันเป็นที่มาของคำว่า HyperText หรือข้อความที่มีความสามารถ มากกว่าข้อความปกตินั่นเอง
จึงมีลักษณะคล้ายกับว่าผู้อ่านเอกสารเว็บ สามารถโต้ตอบกับเอกสารนั้นๆ ด้วยตนเอง ตลอดเวลาที่มีการใช้งานนั่นเอง
ที่มา : http://www.oknation.net
–
E-mail
e-mail เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่านระบบโทรคมนาคม
ข่าวสารหรือข้อความของ e- mail จะเป็นไฟล์ประเภทข้อความ
อย่างไรก็ตามสามารถส่งไฟล์ประเภทอื่น เช่น ไฟล์ประเภทภาพหรือเสียง
เป็นไฟล์ที่แนบไปในรหัสแบบ binary โดย e- mail เป็นสิ่งแรกที่ใช้อย่างกว้างขวางในอินเตอร์เน็ต
และเป็นสัดส่วนใหญ่ในการใช้ traffic บนอินเตอร์เน็ต e-
mail สามารถแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ใช้ของ online service
provider กับระบบเครือข่ายอื่น นอกจากนี้ ภายในอินเตอร์เน็ต e-
mail เป็นโปรโตคอลแบบหนึ่งที่รวมอยู่ใน Transport Control Protocol/Internet
Protocol (TCP/IP) โปรโตคอลที่นิยมสำหรับการส่ง e- mail คือ Simple Mail Transfer Protocol (SMTP) และโปรโตคอล
ที่นิยมในการรับ e- mail คือ POP3 ทั้ง
Netscape และ Microsoft ได้รวม e-
mail และส่วนประกอบการทำงานใน web browser
ที่มา : http://www.com5dow.com
–
Web Browser
เว็บเบราว์เซอร์
(web
browser) เบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมเรียกดูเว็บไซต์
คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ
เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) พีเอชพี (php) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์
หรือระบบคลังข้อมูลอื่นๆ
โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
(www)
ประโยชน์ของ Web Browser
สามารถดูเอกสารภายในเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้
อย่างสวยงามมีการแสดงข้อมูลในรูปของ ข้อความ ภาพ และ
ระบบมัลติมีเดียต่างๆ
ทำให้การดูเอกสารบนเว็บมีความน่าสนใจมากขึ้น
ส่งผลให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นในปัจจุบัน ปัจจุบัน web browser ส่วนใหญ่จะรองรับ html5 และ อ่าน css เพื่อความสวยงามของหน้า web page
รายชื่อเว็บเบราว์เซอร์
(web
browser) ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายเรียงตามอันดับความนิยมสูงสุด
5 อันดับแรกของปี 2013
1. Google Chrome
2. Mozilla Firefox
3. Internet Explorer
4. Opera
5. Safari
–
Domain name
โดเมนเนม
ความหมายโดยทั่วๆ ไป หมายถึง ชื่อเว็บไซต์ ชื่อบล็อก ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้จดจำและนำไปใช้งานได้ง่ายทั้งในการเข้าชมผ่านบราวเซอร์ของผู้ใช้ทั่วไป
ยังรวมไปถึงผู้ดูแลระบบโดเมนเนมซีสเทม
ที่สามารถแก้ไขไอพีแอดเดรสของชื่อโดเมนเนมนั้นๆ ได้ทันทีโดยที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสที่มีการเปลี่ยนแปลง
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่เว็บไซต์
จะมีโดนเมนเนมเฉพาะไม่ซ้ำกับใครโดนเมนเนม
มีด็อทอยู่หลายประเภทแต่ที่นิยมมากที่สุดนั้นก็คือ .com เพราะเป็นด็อทในยุคแรกๆ ที่เริ่มใช้กัน และง่ายต่อการจดจำประเภทของ Domain Name แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1.
โดเมน 2 ระดับ ชื่อโดเมน .
ประเภทของโดเมน
2.
โดเมน 3 ระดับ ชื่อโดเมน .
ประเภทของโดเมน . ประเทศ
โดนเมนเนม 2
ระดับ
จะประกอบด้วย www . ชื่อโดเมน .
ประเภทของโดเมน เช่น www.b2ccreation.com
ประเภทของโดเมน
คือ คำย่อขององค์กร โดยประเภทขององค์กรที่พบบ่อย มีดังต่อไปนี้
* .com คือ บริษัท หรือ
องค์กรพาณิชย์
* .org คือ
องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร
* .net คือ
องค์กรที่เป็นเกตเวย์ หรือ จุดเชื่อมต่อเครือข่าย
* .edu คือ สถาบันการศึกษา
* .gov คือ องค์กรของรัฐบาล
* .mil คือ องค์กรทางทหาร
โดนเมนเนม 3 ระดับ
จะประกอบด้วย www . ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน . ประเทศ เช่น www.kmitnb.ac.th,
www.nectec.or.th, www.google.co.th
ประเภทขององค์กรที่พบบ่อยคือ
* .co คือ บริษัท หรือ
องค์กรพาณิชย์
* .ac คือ สถาบันการศึกษา
* .go คือ องค์กรของรัฐบาล
* .net คือ
องค์กรที่ให้บริการเครือข่าย
* .or คือ
องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร
ตัวย่อของประเทศที่ตั้งขององค์กร
* .th
คือ ประเทศไทย
* .cn
คือ ประเทศจีน
* .uk
คือ ประเทศอังกฤษ
* .jp
คือ ประเทศญี่ปุ่น
* .au
คือ ประเทศออสเตรเลีย
โดนเมนเนม
ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่มองข้ามไม่ได้เลยสำหรับเว็บไซต์นั้นๆ
โดยเฉพาะกับการโฆษณาบนอินเตอร์เน็ท ถ้าได้ชื่อที่เฉพาะเจาะจง
ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้วนั้น จะทำให้โดเมนเนม
หรือ เว็บไซต์นั้นๆ จะได้รับความสนใจและเป็นที่จดจำได้ง่ายไม่ใช่กับผู้เข้าชมหรือกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาชมเว็บไซต์ผ่านโดมเนมเท่านั้นยังรวมไปถึง
Search
Engine ชื่อดังต่างๆ เช่น Google Yahoo MSN เป็นต้น
ที่จะเข้ามาแวะเวียนเข้ามาทำ index กับเว็บเพจหน้าต่างๆ
ในเว็บไซต์ของเราหลังจากจดโดนเมนเนมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สิ่งสำคัญลำดับถัดมานั้นก็คือ โฮสติ้ง (Hosting) หรือ
ที่เก็บข้อมูลเว็บไซต์ของเรานั้นเอง ซึ่งโฮสติ้งแต่ละที่จะมี DNS หรือ Name Server ที่ทางผู้ให้บริการโฮสติ้ง
จะเป็นคนกำหนดและแจ้งให้เราทราบเพื่อเอาไปใส่ให้โดมเมเนมของเรา
เช่น DNS ของ B2C Creation จะมีชื่อว่า NS1.B2CCREATION.COM และ NS2.B2CCREATION.COM ซึ่งคุณไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เพราะถ้าคุณจด Domain Nameและใช้บริการโฮสติ้งกับผู้ให้บริการคนเดียวกันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ
หรือแม้ว่าจะเป็นคนละคนกัน เพียงแค่นำ DNS ที่ได้
ไประบุให้กับโดเมนเนมนั้นตามที่ได้อธิบายไปแล้ว
ที่มา : http://www.b2ccreation.com
–
IP Address
IP Address ย่อมาจากคำเต็มว่า Internet Protocal Address คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในระบบเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลแบบ
TCP/IP
ถ้าเปรียบเทียบก็คือบ้านเลขที่ของเรานั่นเอง
ในระบบเครือข่าย จำเป็นจะต้องมีหมายเลข IP กำหนดไว้ให้กับคอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องการ IP ทั้งนี้เวลามีการโอนย้ายข้อมูล
หรือสั่งงานใดๆ จะสามารถทราบตำแหน่งของเครื่องที่เราต้องการส่งข้อมูลไป
จะได้ไม่ผิดพลาดเวลาส่งข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด
มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด เช่น 192.168.100.1 หรือ 172.16.10.1
เป็นต้น โดยหมายเลข IP
Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีค่าไม่ซ้ำกัน
สิ่งตัวเลข 4 ชุดนี้บอก คือ Network ID กับ Host ID ซึ่งจะบอกให้รู้ว่า เครื่อง computer
ของเราอยู่ใน network ไหน และเป็นเครื่องไหนใน
network นั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Network ID และ Host ID มีค่าเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า IP
Address นั้น อยู่ใน class อะไร
เหตุที่ต้องมีการแบ่ง class ก็เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ เป็นการแบ่ง IP Address ออกเป็นหมวดหมู่นั้นเอง สิ่งที่จะเป็นตัวจำแนก class ของ network ก็คือ bit ทางซ้ายมือสุดของตัวเลขตัวแรกของ
IP Address (ที่แปลงเป็นเลขฐาน 2 แล้ว)
นั่นเอง โดยที่ถ้า bit ทางซ้ายมือสุดเป็น 0 ก็จะเป็น class A ถ้าเป็น 10
ก็จะเป็น class B ถ้าเป็น 110 ก็จะเป็น
class C ดังนั้น IP Address จะอยู่ใน class
A ถ้าตัวเลขตัวแรกมีค่าได้ตั้งแต่ 0 ? 127 (000000002 ?
011111112) จะอยู่ใน class B ถ้าเลขตัวแรกมีค่าตั้งแต่
128 ? 191 (100000002 ? 101111112) และ จะอยู่ใน class
C ถ้าเลขตัวแรกมีค่าตั้งแต่ 192 - 223 (110000002 ?
110111112) มีข้อยกเว้นอยู่นิดหน่อยก็คือตัวเลข 0, 127 จะใช้ในความหมายพิเศษ จะไม่ใช้เป็น address ของ network
ดังนั้น network ใน class A จะมีค่าตัวเลขตัวแรก ในช่วง 1 ? 126
สำหรับตัวเลขตั้งแต่ 224 ขึ้นไป จะเป็น class พิเศษ อย่างเช่น
Class D ซึ่งถูกใช้สำหรับการส่งข้อมูลแบบ Multicast
ของบาง Application และ Class E ซึ่ง Class นี้เป็น Address ที่ถูกสงวนไว้ก่อน
ยังไม่ถูกใช้งานจริง ๆ โดย Class D
และ Class E นี้เป็น Class พิเศษ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้งานในภาวะปกติ
ตัวอย่าง IP Address
Class A ตั้งแต่ 10.xxx.xxx.xxx
Class B ตั้งแต่ 172.16.xxx.xxx
ถึง 172.31.xxx.xxx
Class C ตั้งแต่ 192.168.0.xxx
ถึง 192.168.255.xxx
จาก IP Address เราสามารถที่จะบอก
ได้คร่าวๆ ว่า computer 2 เครื่องอยู่ใน network วงเดียวกันหรือเปล่าโดยการเปรียบเทียบ Network ID ของ
IP Address ถ้ามี Network ID ตรงกันก็แสดงว่าอยู่ใน
network วงเดียวกัน เช่น computer เครื่องหนึ่งมี
IP Address 1.2.3.4 จะอยู่ใน network วงเดียวกับอีกเครื่องหนึ่งซึ่งมี
IP Address 1.100.150.200 เนื่องจากมี Network ID ตรงกันคือ 1 (class A ใช้ Network ID 1 byte)
วิธีตรวจสอบ IP Address
1.คลิกปุ่ม Start เลือก Run
2.พิมพ์คำว่า cmd กดปุ่ม OK
3.จะได้หน้าต่างสีดำ
4.พิมพ์คำว่า ipconfig กด enter
5.จะเห็นกลุ่มหมายเลข IP
Address
ที่มา : http://www.mindphp.com/
ข้อ 2 อินเทอร์เน็ตมีข้อดีต่อระบบการศึกษาไทยอย่างไร
ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดของอินเตอร์เน็ตต่อการศึกษา
คือการเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การค้นหาข่าวสาร
ข้อมูลต่างๆเป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ปัจจุบัน มี web site ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ละ web site ก็ให้ข้อมูลข่าวสารในเรื่องต่างๆ รูปแบบระบบห้องสมุดก็มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเป็น
digital library ที่มี หนังสือในเรื่องต่างๆเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ให้อ่านและค้นคว้าได้
online การใช้ email
ช่วยให้การติดต่อข่าวสาร ระหว่างนักวิชาการเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้าเหมือนแต่ก่อน ช่วยให้การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่าง นักวิชาการในสาขาเดียวกันทั่วโลกเป็นไปได้ การเรียนแบบ online ยังช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนได้ตามขีด
ความสามารถของตนเอง ใครมีความสามารถมากก็เรียนได้เร็วกว่า นักเรียนที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในห้อง ก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้มากขึ้นผ่านการใช้
email หรือ discussion group ค้นคว้าข้อมูลในลักษณะต่างๆ
เช่น งานวิจัย บทความในหนังสือพิมพ์ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ฯลฯ ได้จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก
เช่น ห้องสมุด สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการเดินทางและสามารถสืบค้นได้ตลอดเวลา 24
ชั่วโมง
ที่มา : http://naratx.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น